ปัจจัยในการสร้างเสริมสุขภาพเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่าประกอบด้วยอาหารและโภชนาการ
การออกกําลังกาย การคลายเครียด การพักผ่อนที่เพียงพอ และการหลีกเลี่ยงสารพิษไม่ว่าจะเป็นบุหรี่
เหล้า สารพิษที่ปนมากับอาหาร และสิ่งแวดล้อมจากการที่สภาพความเป็นอยู่
ที่เปลี่ยนไป ทําให้วิถีการดําเนินชีวิตของผู้คนในยุคนี้แตกต่างจากยุคก่อนๆ
ไม่ว่าจะเป็นการลดความเคลื่อนไหวและใช้เทคโนโลยีมากขึ้น
ขณะเดียวกันรูปแบบการได้รับอาหารก็เปลี่ยนไปความเข้าใจการเลือกบริโภคอาหารเพื่อให้มีสุขภาพที่ดีจึงเป็นสิ่งที่ต้องทําความเข้าใจถึงพื้นฐานความต้องการและการนําไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย
ก่อนอื่นควรทําความเข้าใจความหมายของอาหารและโภชนาการ
อาหารคือสิ่งที่บริโภคเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย โภชนาการ
จะกล่าวถึงขบวนการที่อาหารผ่านการย่อย การดูดซึม การนําไปใช้
การเก็บในร่างกายและการ ขับออกนอกร่างกาย
ดังนั้นโภชนาการจึงเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของสารอาหารกับการทํางาน ของร่างกาย
การป้องกันและรักษาโรค การชะลออาการของการเกิดโรค รวมถึงพฤติกรรมการ บริโภค
คํากล่าวที่ว่า “You are what you eat” จึงเป็นข้อความที่บอกถึงความสัมพันธ์ของอาหาร
ที่บริโภคกับผลที่เกิดในร่างกาย
สารอาหารและสารพลังงาน
การเลือกอาหารขึ้นกับความชอบเฉพาะตัวที่ถูกสร้างสมมาจากการเลี้ยงดูในครอบครัว
สิ่งแวดล้อม อาหารตามกระแสและแฟชั่น อย่างไรก็ดี
แนวคิดในการเลือกอาหารควรคํานึงถึงความพอเพียง สมดุลของสารพลังงานที่เหมาะสม
และความหลากหลายเพื่อให้ได้สารอาหาร ครบตามความต้องการของร่างกาย
ปัจจัยดังกล่าวจําเป็นต้องทําความเข้าใจเพื่อให้มั่นใจว่าได้ โภชนาการที่เหมาะสม
สารอาหารที่กล่าวถึงก็คือสารเคมีที่พบในอาหาร ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน
เกลือแร่ วิตามิน และน้ํา ซึ่งมีองค์ประกอบที่สําคัญคือ ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน
ออกซิเจน และไนโตรเจน
ส่วนธาตุปริมาณน้อยในร่างกายซึ่งพบว่ามีความจําเป็นต่อการทํางาน
ของเซลล์ร่างกายมีมากมาย เช่น แคลเซียม เหล็ก สังกะสี ซีลีเนียม เป็นต้น
ดังนั้นองค์ประกอบหลักของอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย จึงได้จาก “สารพลังงาน”
ซึ่งมาจากสารอาหาร คาร์โบไฮเดรต โปรตีนและไขมัน นั่นเอง หน่วยพลังงานจากอาหาร :
กิโลแคลอรี / กิโลจูล การวัดพลังงาน
แต่เดิมนั้นเป็นการวัดความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเผาผลาญอาหารใน
ร่างกายจึงใช้หน่วยเป็นกิโลแคลอรี ซึ่งความหมายของกิโลแคลอรีก็คือ
ปริมาณความร้อนที่ทําให้น้ํา 1 กิโลกรัม มีอุณหภูมิสูงขึ้น 1 องศาเซลเซียส
และในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา เริ่มมีการปรับเปลี่ยนหน่วยวัดให้เป็นการวัดพลังงานในรูปของกิโลจูล
สัดส่วนพลังงานที่ควรได้รับ (Caloric
distribution)
จากการที่ร่างกายได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต
โปรตีน และไขมันเป็นหลัก จึงจําเป็นต้องทราบสัดส่วนของสารพลังงานดังกล่าว
เพื่อให้เหมาะสมและได้โภชนาการที่ดี การเลือกบริโภคอาหารจะเน้นการบริโภคคาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก
เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานได้เร็ว
ผ่านขบวนการย่อยและดูดซึมในรูปของกลูโคส
และเก็บสะสมในรูปของไกลโคเจนบริเวณกล้ามเนื้อและตับ
จากการที่ปริมาณการเก็บไกลโคเจนไม่มากนัก
จึงจําเป็นต้องได้ในปริมาณที่มากเมื่อเทียบกับสารอาหารอื่นๆในส่วนของโปรตีน (Protein)
ซึ่งเป็นสารอาหารที่จําเป็นในการสร้างกล้ามเนื้อ เอนไซม์
(สารเคมีที่ช่วยปฏิกริยาในร่างกาย) ฮอร์โมน
(สารเคมีที่ทําหน้าที่ควบคุมการทํางานของเนื้อเยื่อ และอวัยวะในร่างกาย)
รวมถึงการสร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย ดังนั้นความจําเป็นที่จะได้รับโปรตีนจึง
สําคัญมาก Protein มาจาก Protios (ภาษาละติน)
ซึ่งหมายถึง Prime important (ความสําคัญ มาเป็นอันดับหนึ่ง)
โดยทั่วไปความต้องการโปรตีนจะไม่มากนักเมื่อเทียบกับสารพลังงานอื่นไขมันเป็นสารที่ให้พลังงานสูง
(9 กิโลแคลอรี/กรัม เมื่อเทียบกับคาร์โบไฮเดรต และ โปรตีน
ซึ่งต่างก็ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี/กรัม)
โดยทั่วไปไขมันมีการแทรกอยู่กับอาหาร โปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่
รวมถึงการบริโภคไขมันที่ใช้ในการปรุงอาหาร ไม่ว่าจะเป็นไขมันพืช น้ํามันหมู เนย
กะทิ เป็นต้น และเป็นที่น่าสังเกตก็คือ การบริโภคไขมันสูงจะทําให้ได้พลังงาน
จากอาหารสูงไปด้วย อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงสารอาหารเพื่อเก็บเป็นสารพลังงานนั้นอย่าลืมว่า
ทั้งคาร์โบไฮเดรต และโปรตีนที่เหลือจากที่ร่างกายนํามาใช้ในชีวิตประจําวัน
จะถูกเก็บในรูป ของไขมันร่างกาย
สิ่งเหล่านี้เป็นวิวัฒนาการของมนุษย์ในการเก็บพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
(จากการเก็บไขมันใช้เนื้อที่น้อย)
ทําให้ร่างกายเก็บพลังงานส่วนเกินในรูปของไขมันร่างกาย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น