1. อาหารคาร์โบไฮเดรตในการรักษาโรคเบาหวาน
•การจํากัดปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหารน้อยกว่า
130 กรัมต่อวัน ไม่แนะนําในการรักษาโรคเบาหวาน (E)
•
การติดตามประเมินการรับประทานอาหารที่เป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรต โดยใช้
วิธีการนับหน่วยคาร์โบไฮเดรต (carbohydrate counting) และการใช้รายการอาหารแลกเปลี่ยน
(ภาคผนวก) ยังคงเป็นวิธีการหลักที่สําคัญที่ช่วยให้การควบคุมน้ําตาลได้ผลดี (A)การใช้อาหารที่มี glycemic index และ glycemic
load จะได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นบ้าง
ถ้าพิจารณาเฉพาะคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานเพียงอย่างเดียว (B)
ถ้าจะใช้อาหารที่มีน้ําตาล sucrose เป็นส่วนประกอบในแผนการรับประทานอาหารของผู้ที่เป็นเบาหวาน
อาจใช้น้ําตาลแทนอาหารที่เป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตชนิดอื่นได้และถ้ารับประทานน้ําตาลเพิ่มขึ้นอกเหนือจากแผนการรับประทานอาหารที่ได้กําหนดไว้
ควรปรับปริมาณอินซูลินที่ได้รับหรือยาที่รับประทานให้เพียงพอ
และควรคํานึงถึงพลังงานที่อาจได้รับ มากเกินไปจากน้ําตาลด้วย (A)
•
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานควรรับประทานอาหารที่มีใยอาหารให้หลากหลายเช่นเดียว
กับคนปกติทั่วไป อย่างไรก็ตาม
ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลเพียงพอที่จะแนะนําให้ผู้ที่เป็นโรค
เบาหวานรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูงกว่าคนปกติทั่วไป น้ําตาลแอลกอฮอล์และสารให้ความหวานที่ไม่ให้พลังงาน
(nonnutritive
sweeteners) สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย
2. อาหารโปรตีนในการรักษาโรคเบาหวาน
ดังนั้นยังคงแนะนําให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและมีการทํางานของไตที่ยังปกติ
ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ ที่จะแนะนําให้ลดปริมาณโปรตีนจากอาหารที่รับประทานตามปกติ
รับประทานโปรตีนในปริมาณปกติคือ 15-20% ของพลังงานที่ได้รับ (E) ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2
การรับประทานโปรตีนไม่ทําให้ระดับของกลูโคส ในเลือดเพิ่มขึ้น
แต่มีผลในการเพิ่มการตอบสนองของอินซูลินในเลือด ดังนั้นอาหารที่ให้โปรตีนจึงไม่ควรใช้ในการรักษาภาวะน้ําตาลต่ําเฉียบพลัน
หรือป้องกันภาวะน้ําตาลต่ําในช่วงกลางคืน (A)
•
อาหารที่มีโปรตีนสูงยังไม่แนะนําให้ใช้ในการลดน้ําหนักตัวในผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
เนื่องจากผลระยะยาวของการรับประทานโปรตีนมากกว่า 20%
ของพลังงานที่ได้รับในการรักษา โรคเบาหวานและการเกิดภาวะแทรกซ้อนยังไม่ทราบแน่ชัด
แม้ว่าการรับประทานโปรตีนสูง อาจช่วยลดน้ําหนักตัวได้ในระยะสั้นและทําให้คุมน้ําตาลได้ดีขึ้น
แต่ยังไม่มีข้อมูลที่บ่งถึงประโยชน์ ระยะยาวของการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง
4. แอลกอฮอล์กับโรคเบาหวาน
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานซึ่งเลือกที่จะดื่มแอลกอฮอล์บ้าง
ควรจํากัดการดื่มแอลกอฮอล์ ในปริมาณปานกลางคือดื่มไม่เกิน 1
ดริ้งค์ต่อวันในผู้หญิง และไม่เกิน 2 ดริ้งค์ต่อวันในผู้ชาย (E): 1 ดริ้งค์ = ไวน์ 1 แก้ว (120 ซีซี), เบียร์ 1 ขวด
(360 ซีซี), วิสกี้หรือเหล้า 1 ออนซ์ (30 ซีซี)
เพื่อลดความเสี่ยงต่อการมีภาวะน้ําตาลต่ําในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ฉีดอินซูลินควรดื่มแอลกอฮอล์พร้อมอาหาร
(E)
•
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ดื่มเฉพาะแอลกอฮอล์อย่างเดียวในปริมาณปานกลางจะไม่มี
ผลทันทีต่อระดับน้ําตาลและอินซูลินแต่การรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตร่วมกับการดื่มแอลกอฮอล์
(ใน mixed
drink) อาจจะเพิ่มระดับน้ําตาลในเลือดได้ (B)
5. จุลสารอาหาร (Micronutrients) ในการรักษาโรคเบาหวาน
ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนถึงประโยชน์ของการเสริมวิตามินและเกลือแร่ในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่ไม่ได้มีการขาดสารอาหาร
เมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลทั่วไป (A) การรับประทานวิตามินเสริมป็นประจําในกลุ่มของ
antioxidants เช่น วิตามินอี วิตามินซี และแคโรทีน
ยังไม่แนะนําให้รับประทานเสริม เนื่องจากยังขาดหลักฐานถึงประสิทธิผล และความปลอดภัยของการเสริมวิตามินเหล่านี้ในระยะยาว
(A)
•
ประโยชน์ของการรับประทานโครเมียมเสริมในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานยังไม่ชัดเจน
ดังนั้นจึงยังไม่แนะนําให้รับประทานโครเมียมเสริม (E)
6. โภชนบําบัดในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1
ควรปรับอินซูลินให้เหมาะกับแผนการรับประทานอาหาร
และการออกกําลังกายเฉพาะของแต่ละคน (E) ผู้ที่ใช้ rapid
acting insulin โดยการฉีดหรือใช้อินซูลินปั้ม ควรปรับอินซูลินในมื้อ
อาหารและอาหารว่างตามปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหาร (A) ผู้ที่ฉีดอินซูลิน
fixed dose ทุกวัน ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตคงที่ในแต่ละวัน
โดยปริมาณและเวลาที่รับประทานควรให้ใกล้เคียงกันทุกวัน (C)
• การออกกําลังกายที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า
ควรปรับปริมาณอินซูลินให้เหมาะสม กับชนิดของการออกกําลังกายและระดับน้ําตาล
ถ้าออกกําลังกายโดยที่ไม่ได้วางแผนไว้ก่อน อาจต้องรับประทานคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้น
7. โภชนบําบัดในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2
ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2
ควรส่งเสริมให้มีการปรับเปลี่ยนวิถีการดําเนินชีวิต
โดยลดพลังงานจากอาหารที่รับประทานให้น้อยลง ลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานซ์
คอเลสเตอรอล และโซเดียม รวมทั้งเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย/ออกกําลังกาย
ซึ่งจะช่วยให้ ระดับน้ําตาล ไขมัน และความดันโลหิตดีขึ้น (E)
•
การติดตามประเมินระดับน้ําตาลในเลือดจะเป็นสิ่งที่ใช้พิจารณาในการปรับอาหาร
และมื้ออาหารว่าเหมาะสมกับการควบคุมระดับน้ําตาลที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่
หรืออาจจะต้อง ใช้ยาร่วมกับการใช้โภชนบําบัด (C)
ผู้สูงอายุที่อ้วนและเป็นโรคเบาหวาน
การจํากัดพลังงานจากอาหารบ้างเล็กน้อย และการเพิ่มการเคลื่อนไหวและออกกําลังกาย
อาจได้ประโยชน์ในการควบคุมน้ําหนักตัว (E) การเสริมวิตามินรวมทุกวัน
อาจจะเหมาะสมในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่รับประทานอาหารน้อยลง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น