โรคหัวใจและหลอดเลือด
โรคหัวใจและหลอดเลือด หมายถึง โรคหัวใจขาดเลือด
(ischemic
heart disease-IHD หรือ coronary artery disease) รวมทั้งโรคหลอดเลือดสมอง (cerebrovascular disease-CVD) และโรคหลอดเลือดส่วนปลาย (peripheral vascular disease) ประชากรที่มีความเสี่ยงต่อโรค หัวใจและหลอดเลือด คือ ผู้ที่เป็นโรคอ้วน
ผู้ที่มีไขมันในเลือดผิดปกติ ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
ผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มสุรา และไม่ออกกําลังกาย ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้คือ
กรรมพันธุ์ เพศ เผ่าพันธุ์ และอายุ ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ (dyslipidemia)
คือ ระดับไขมัน ในเลือดที่มีคอเลสเตอรอลมากกว่า 200
มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (มก./ดล) ระดับ HDL-cholesterol- C (HDL-C) หรือไขมันดี น้อยกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ระดับ LDL-cholesterol-C
(LDL-C) หรือไขมันเลว มากกว่า 130 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ระดับไตรกลีเซอไรด์ มากกว่า 150 มิลลิกรัม ต่อเดซิลิตร ปัจจัยเสี่ยงNational
Cholesterol Education Program: Expert Panel on Detection, Evalua- tion and
Treatment of High Cholesterol in Adults (Adult Treatment Panel III) ได้กล่าวถึง ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ซึ่งได้แก่
1.
มีประวัติคนในครอบครัวที่มีการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดโดยเฉพาะผู้ชายที่มีญาติ
เป็นโรคหัวใจขาดเลือดตั้งแต่อายุน้อยกว่า 55 ปี
และในญาติผู้หญิงที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด เมื่ออายุน้อยกว่า 65 ปี
2. เพศ
เพศชายมีโอกาสเกิดโรคหัวใจขาดเลือดมากกว่าเพศหญิง 3-5 เท่า
3. อายุ ในเพศชายที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป
และในเพศหญิงในวัยหมดประจําเดือน ตั้งแต่อายุ 55 ปี
4. สูบบุหรี่
5. มีไขมันในเลือดสูง HDL -
Cholesterol น้อยกว่า 40 มก./ดล.
6. โรคความดันโลหิตสูง (140/90 มิลลิเมตรปรอท)
7. โรคเบาหวาน
8. โรคอ้วน
9.
โรคเครียด
10. ขาดการเคลื่อนไหวและการออกกําลังกาย
การป้องกันและลดปัจจัยเสี่ยง
1.จํากัดการรับประทานอาหารที่มีไขมันไม่ให้เกินร้อยละ
30 ของพลังงานทั้งหมด ที่ได้รับ หลีกเลี่ยงไขมันอิ่มตัว ซึ่งพบมากในไขมันสัตว์
น้ํามันมะพร้าวและน้ํามันปาล์ม ลดปริมาณ
อาหารที่มีสารคอเลสเตอรอลซึ่งพบในอาหารพวกไข่แดง เครื่องในสัตว์ สมองสัตว์ ตับวัว
ตับหมู อาหารทะเลหอยแครง หอยแมลงภู่ หอยนางรม ปลาหมึก ไข่ปลา ฯลฯ
มีข้อมูลจากงานวิจัย
ที่ผ่านมาพบว่าระดับคอเลสเตอรอลในเลือดมีส่วนสัมพันธ์ต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ≥
200 มก./ดล. หรือมีระดับ LDL-C ≥ 130 มก./ดล. ต้องจํากัดอาหารประเภทน้ําตาล ขนมหวาน กะทิ
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด และออกกําลังกายสม่ําเสมอ และกรณี
ที่คอเลสเตอรอลสูงและไตรกลีเซอไรด์สูง คือมี LDL-C และ VLDL
สูง ต้องจํากัดการรับประทาน ไขมันอิ่มตัว (ไขมันสัตว์)
ให้น้อยที่สุด ลดอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง และควรลดอาหารประเภท แป้ง น้ําตาล
ขนมหวาน และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ควรรักษาอัตราส่วนของ HDL ต่อ LDL ให้พอเหมาะคือ 3 และไม่ควรเกิน 4
2.ควบคุมน้ําหนักไม่ให้เกินมาตรฐาน
นักวิจัยพบว่าภาวะน้ําหนักเกินและโรคอ้วน มีความสัมพันธ์กับ คอเลสเตอรอล
โดยทําให้เกิดการเผาผลาญที่ผิดปกติ
3.เพิ่มปริมาณใยอาหาร ใยอาหารพบได้ในผัก ผลไม้
และธัญพืช ใยอาหารที่ละลาย น้ําได้ เช่น เพคตินในส้ม แอปเปิ้ล และมะนาว
เบต้ากลูแคนในธัญพืช เช่น ข้าวโอ๊ต มีผลต่อ การลดระดับคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดได้
โดยจะดูดซับเอากรดน้ําดีไว้ และขับออกมาใน อุจจาระ ทําให้ร่างกายต้องดึงคอเลสเตอรอลมาใช้เพื่อสร้างน้ําดี
คอเลสเตอรอลในเลือดก็ลดลง
4.หมั่นออกกําลังกายและเคลื่อนไหว
การออกกําลังกายแบบแอโรบิกมีผลต่อการ เพิ่มระดับของ HDL-C
และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ แต่ไม่มีผลต่อการลดระดับคอเลสเตอรอลรวม และ
LDL-C การออกกําลังกายครั้งละ 30-60 นาที สัปดาห์ละ 2-5
ครั้ง จะมีผลทําให้อัตราการ เต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น 50-70% มีผลทําให้ระดับ HDL-C
ขึ้นและ LDL-C ลดลง
5. งดการสูบบุหรี่
บุหรี่ไม่มีผลต่อการเพิ่มระดับ LDL-C แต่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงร่วม
ที่จะทําให้ระดับไขมันในเลือดเพิ่มขึ้นและระดับของ HDL-C ลดลง
คาร์บอนมอนอกไซด์ในควันบุหรี่จะจับฮีโมโกลบิน ทําให้หัวใจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
6. เพิ่มการกินผักและผลไม้
โดยเฉพาะผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินซี
วิตามินอี พบมากในผักที่มีสีส้ม แสด เช่น แครอท ฟักทอง มะเขือเทศ กระเทียม หอม
เป็นต้น สารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยลดระดับไขมันในเลือด และป้องกัน LDL จาก การออกซิเดชัน จึงเป็นการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดแข็ง
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น