วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2566

ปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับอาหารและการดูแลด้านโภชนาการ

โรคอ้วน

โรคอ้วนเป็นภาวะที่ร่างกายมีไขมันในร่างกายมากเกิน เนื่องมาจากได้รับพลังงานจากอาหารมากเกินกว่าที่ใช้ พลังงานส่วนเกินจะถูกเก็บสะสมไว้ในรูปของไขมัน จึงทําให้ร่างกาย มีน้ําหนักมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ อาทิ โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคข้อเสื่อม รวมถึงโรคมะเร็ง นอกจากนี้ผู้มีปัญหาโรคอ้วนยังประสบ ปัญหาทางด้านจิต สังคม และหน้าที่การงานร่วมด้วย สร้างปัญหาทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ ได้อีกทางหนึ่งปัจจุบันแนวโน้มการบริโภคอาหารของคนไทยเปลี่ยนไป มีการยอมรับวัฒนธรรมการบริโภคอาหารตะวันตกมากขึ้นมากขึ้นการบริโภคอาหารของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบสังคมเมืองโดยเน้นความสะดวกสบายและรวดเร็วเป็นหลัก มีการรับประทานอาหารนอกบ้าน มากขึ้น นิยมรับประทานอาหารปรุงสําเร็จรูป อาหารเร่งด่วนหรืออาหารฟาสต์ฟู้ดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะพฤติกรรมการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดจากตะวันตก ซึ่งมีระดับของพลังงานที่สูง อีกทั้งยังขาดการออกกําลังกายที่เพียงพอ ซึ่งมีส่วนทําให้เกิดโรคอ้วนได้ง่าย และนํามาซึ่งสาเหตุ การเพิ่มจํานวนของโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจํานวนเด็กและวัยรุ่นที่เป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้นคนไทยกําลังประสบปัญหาทางสุขภาพสําคัญที่เรียกว่าโรคอ้วนลงพุง หรือเมตาโบลิกชินโดรม (metabolic syndrome) ปัจจัยทางด้านรูปแบบการกินอาหาร หรือบริโภคนิสัยที่ ไม่เหมาะสม และการไม่ออกกําลังกาย ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมและวิถีการดําเนินชีวิตที่เป็น สาเหตุหลักของการเกิดโรคอ้วนลงพุง พฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยที่เปลี่ยนไป กินอาหารที่มีไขมัน โปรตีน และน้ําตาลสูง แต่มีใยอาหารต่ํา มีรสเค็มจัด และเป็นอาหารที่ผ่านขบวนการเป็นส่วนมาก ประกอบกับการบริโภคในปริมาณที่มาก และไม่ได้ออกกําลังกาย ทําให้มีผลกระทบ ต่อภาวะสุขภาพในเชิงลบ นําไปสู่การเจ็บป่วยและการตายด้วยโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศในขณะนี้ทิศทางการป้องกันโรคอ้วนลงพุง หรือ เมตาโบลิกซินโดรม ในปัจจุบันได้หันมาให้ความ สําคัญของการปรับเปลี่ยนวิถีการดําเนินชีวิต ที่รวมถึงการบริโภคอาหารและการออกกําลังกาย เป็นหลัก คําแนะนําต่างๆ จะเน้นที่รูปแบบการกินอาหาร โดยให้ความสําคัญของรูปแบบการ กินอาหารที่มาจากพืชเป็นหลัก เช่น การบริโภคผัก ผลไม้ และธัญชาติที่ขัดสีแต่น้อย เป็นประจํา เพื่อให้มีโอกาสได้รับใยอาหารในปริมาณที่มากขึ้นเพื่อป้องกันการเกิดโรคดังกล่าว เน้นการบริโภค เนื้อสัตว์ในปริมาณน้อย เนื้อสัตว์ส่วนใหญ่ได้จากปลา ส่วนไขมันที่แนะนําจะเน้นที่คุณภาพ ของไขมัน โดยแนะนําให้บริโภคอาหารที่เป็นแหล่งของไขมันไม่อิ่มตัวทั้งชนิดที่เป็น mono - และ polyunsaturated fat ในปริมาณที่เหมาะสม กินผักมากขึ้น ลดอาหารหวาน มัน เค็ม และกิน อาหารให้หลากหลาย

1. เป้าหมายของการลดน้ําหนัก การป้องกันการเพิ่มและการรักษาน้ําหนักตัว ปกติการตั้งเป้าหมายของการลดน้ําหนักคือ 10% ของน้ําหนักตัว มีความเป็นไปได้ ถ้าทําอย่างจริงจังและต่อเนื่อง อัตราการลดน้ําหนักไม่ควรเกิน 0.5 กิโลกรัม/สัปดาห์ (ปริมาณ พลังงานในการเผาผลาญไขมัน 7700 กิโลแคลอรี/ก.ก.) ดังนั้นในเวลา 6 เดือน การเผาผลาญ ไขมันจะทําให้น้ําหนักลด 2-3 กิโลกรัม หลังจากนั้นมักจะไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงน้ําหนักมากนัก เนื่องจากมีการใช้พลังงานของร่างกายลดลงเมื่อน้ําหนักลด การที่จะลดน้ําหนัก 10% ในช่วง 6 เดือน มีข้อแนะนําว่า คนที่น้ําหนักเกิน ควรลด 300-500 กิโลแคลอรี/วัน คนที่อ้วนควรลด 500-1000 กิโลแคลอรี/วัน การลดน้ําหนักทําได้ในหลายลักษณะ คือลดการบริโภคอาหาร เพิ่มการใช้พลังงาน ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายและออกกําลังกาย รวมทั้งการปรับพฤติกรรม

2. ลดการบริโภคอาหาร การลดปริมาณไขมันและลดปริมาณพลังงานที่ได้รับต่อวัน การบริโภคอาหารที่มี

พลังงานเท่าเดิม (Isocaloric diet) โดยการลดไขมันและทดแทนด้วยคาร์โบไฮเดรต ซึ่งให้ปริมาณพลังงานเท่าเดิมนั้น ช่วยลดปริมาณไขมันที่ร่างกายได้รับ แต่ไม่ได้ช่วยลดน้ําหนัก เนื่องจาก ปริมาณพลังงานยังเท่าเดิม ดังนั้นการปรับเปลี่ยนชนิดของอาหารที่บริโภคนั้นยังไม่พอ ควรลด การบริโภคอาหารลงด้วย

3. เพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกายการลดน้ําหนัก ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดปริมาณพลังงานจากอาหารที่ได้รับ ร่วมกับการเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยป้องกันไม่ให้น้ําหนักที่ลดนั้นเพิ่มกลับมาอีก และ

ยังช่วยระบบหัวใจหลอดเลือด ลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน ซึ่งดีกว่าการลดการบริโภค อาหารเพียงอย่างเดียว การเคลื่อนไหวและออกกําลังกายควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ช้าๆ แต่ให้ ทําประจําและสม่ําเสมอการออกกําลังกายจะทําต่อเนื่องกัน หรือจะแบ่งเป็นช่วงสั้นๆ ซึ่งเมื่อนับรวมกันแล้ว ได้ผลลัพธ์ไม่ต่างกัน (หรือที่เรียกกันว่าออกกําลังกายสะสม) ซึ่งงานวิจัยโดยให้อาสาสมัครที่ ออกกําลังกายวันละ 30 นาที 3 วัน/สัปดาห์ เทียบกับอาสาสมัครที่ออกกําลังกาย 3 ครั้ง ครั้งละ 10 นาที รวมเป็น 30 นาทีต่อวัน 3 วัน/สัปดาห์ ให้ผลไม่ต่างกัน รวมทั้งการออกกําลังกาย แบบด้านแรง ผลที่ได้เมื่อเทียบการฝึก 1 เซ็ท กับ 3 เซ็ท พบว่าเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อและ เป็นประโยชน์ต่อสมรรถภาพร่างกาย กล่าวโดยสรุปการออกกําลังกายแบบสะสม (accumulated physical activity) ช่วยได้เช่นกัน และยังมีความเป็นไปได้ในการที่จะแนะนําสําหรับผู้ที่ไม่มีเวลา ซึ่งสามารถแบ่งทําเป็นช่วงสั้นๆ

4. ปรับพฤติกรรม การปรับพฤติกรรมจะเกิดขึ้นเมื่อคนๆ นั้นมีประสบการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมทําให้เห็นผลที่ดีขึ้น (self experience approach) ทําให้มีความมั่นใจว่าตัวเองทําได้ และเมื่อได้รับความชื่นชมจากผู้คนและสังคมรอบด้าน การเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่น รวมทั้งการตอกย้ํา (reinforcement) และการให้รางวัล (reward) จะสร้างพลังแห่งความเชื่อมั่น การปรับเปลี่ยน พฤติกรรมจําเป็นต้องเป็นการดูแลตนเอง (self monitoring) ทั้งเรื่องการดําเนินชีวิต การบริโภค อาหาร การเคลื่อนไหวและออกกําลังกาย ตลอดจนการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อาหารตามกระแส : อาหารจานด่วน (fast food) ในสังคมอันเร่งรีบและความเป็นโลกาภิวัตน์ ทําให้วัฒนธรรมการบริโภคอาหารมีความคล้ายคลึงกันแทบจะทั่วโลก เราจะเห็นร้านอาหารจานด่วนจากประเทศตะวันตก หรือแม้แต่แถบเอเชียเองที่มีสาขาทั่วไปในประเทศไทย หรือแม้แต่อาหารจานเดียวของไทยก็เป็นอาหารจานด่วนมากมายในฐานะผู้บริโภคจําเป็นต้องมีความรู้และความเข้าใจในการเลือกอาหารบริโภค แน่นอน ที่การเลือกอาหารมีปัจจัยหลายอย่าง นอกเหนือจากคุณค่าอาหารว่าคุ้มกับเงินที่จ่าย ยังรวมถึงความสะดวก รสชาติ การส่งเสริมการขายด้วยการลดแลกแจกแถม การตลาดและการประชาสัมพันธ์ จากการศึกษาวิจัยของสถาบันวิจัยโภชนาการที่สอบถามถึงการเลือกอาหารของเด็ก นักเรียนชาย / หญิง อายุ 7-12 ปี ในโรงเรียนระดับกลางของกรุงเทพมหานคร พบความแตกต่าง ของเด็กหญิง / ชาย ในการเลือกอาหาร เด็กชาย 60% ชอบขนมกรุบกรอบเป็นถุงมากกว่าเด็กหญิง (48%) 19% ของเด็กชายจะชอบขนมปังและเบเกอรี่ ขณะที่เด็กหญิงชอบขนมประเภทนี้ถึง 34% และ 18% ของเด็กชายชอบขนมหวาน ขณะที่เด็กหญิงให้ความสําคัญกับผลไม้ถึง 23% การเลือกอาหารจะไม่มีความแตกต่างของหญิง/ชาย โดยที่ 22% เลือกอาหารปลอดภัย 21% เลือกอาหารที่มีประโยชน์กับสุขภาพ 16% เลือกรสชาติที่ดี และส่วนที่เหลือจะเป็นเรื่องของราคา 3% ความสะดวก 2% และความชอบ 5% อย่างไรก็ดีการคํานึงถึงคุณค่าและประโยชน์ของอาหาร จําเป็นต้องมีข้อมูลโภชนาการ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ตัดสินใจ แต่เนื่องจากอาหารไทยมักจะไม่มีสัดส่วนที่แน่นอน ขึ้นกับความพึงพอใจ และรสชาติที่ชอบ ข้อมูลคุณค่าอาหารจึงขึ้นกับชนิด การปรุง รวมทั้งปริมาณอาหาร อาหารจานด่วนของต่างชาติมักจะมีสัดส่วนที่แน่นอน ซึ่งสะดวกในการได้ข้อมูลคุณค่า อาหารและโภชนาการ อย่างไรก็ดีอาหารจานด่วนที่มาจากทางตะวันตก นอกจากจะมีโปรตีนสูง มักจะมีไขมันสูงด้วย รวมทั้งการมีปริมาณโซเดียมสูง ดังนั้นปริมาณพลังงานของอาหาร (energy density) จึงมักสูงตามไปด้วย ดังแสดงในตารางที่ 5 แสดงตัวอย่างคุณค่าอาหารจานเดียว ของไทย เทียบกับอาหารจานด่วนของทางตะวันตก

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น