จากอาหารแมคโครไบโอติกดัดแปลงเป็นอาหารชีวจิต
เนื่องจากในช่วงระยะ 15 ปีที่ผ่านมา
มีการเผยแพร่อาหารชีวจิตและการนําไปใช้ อย่างแพร่หลายทั่วไปในประเทศไทย
คนส่วนใหญ่อาจจะมีความสับสนว่า อาหารชีวจิตคืออะไร? แตกต่างกันกับอาหารแมคโครไบโอติกอย่างไร?
และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากน้อยอย่างไร? เพื่อให้ได้คําตอบดังกล่าว
จึงนําข้อมูลที่เกี่ยวกับอาหารชีวจิตมาเสนอเปรียบเทียบดังนี้
อาหารชีวจิตมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ประมาณปี
พ.ศ. 2539 โดย ดร.สาทิส อินทรกําแหง นักโภชนาการอาวุโส
ซึ่งมีประสบการณ์ในอาหารแมคโครไบโอติกมานาน ท่านได้
เล็งเห็นว่าคนไทยได้หันไปรับประทานอาหารกลุ่มขยะที่ไร้คุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น
ทําให้ คนไทยเป็นโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน
มากขึ้นด้วย ดร.สาทิส อินทรกําแหง
จึงได้ดัดแปลงหลักการของอาหารแมคโครไบโอติกซึ่งแพร่หลายในกลุ่มคนใน
ประเทศอเมริกาและยุโรปมาปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมสําหรับการดําเนินชีวิตและวิถีสุขภาพ
ของคนไทยมากขึ้น จนเป็นที่ยอมรับและแพร่หลายอย่างกว้างขวาง เพราะว่าจัดหาได้ง่าย
การปรุง ไม่ผ่านขั้นตอนมาก และสะดวกต่อการรับประทาน
จึงเป็นที่ยอมรับในประชาชนคนไทยมาตลอด
หลักการและความรู้พื้นฐานของชีวจิต
1. อาหารกลุ่มผัก
ใช้ผักดิบสดและผักสุกประมาณอย่างละครึ่ง เป็นแหล่งของสาร อาหารที่หลากหลาย คือ
วิตามิน แร่ธาตุ และเส้นใยอาหาร ควรใช้ผักอินทรีย์ที่ปลอดสารเคมี
และปลอดสารฆ่าแมลงจะดีที่สุด แต่ถ้าซื้อจากตลาด ควรเลือกผักปลอดสาร แช่น้ํานานๆ
และ แช่ด่างทับทิมด้วยปริมาณที่ใช้กินประมาณ 25% ของแต่ละมื้อ
2. อาหารกลุ่มถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง
ถั่วเหลือง ถั่วดํา และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ โปรตีนเกษตร น้ําเต้าหู้
เต้าส่วน เต้าทึง เป็นต้น เป็นแหล่งของสารอาหารโปรตีน ไขมัน และเส้นใยอาหาร
ปริมาณที่กินประมาณ 15% ของแต่ละมื้อ จะใช้ปลาหรืออาหารทะเลได้ ประมาณอาทิตย์ละ
1-2 ครั้ง
3. อาหารกลุ่มเมล็ดพืช เช่น เมล็ดฟักทอง
เมล็ดแตงโม ผลไม้เขียว และผลไม้ ที่ไม่มีรสหวาน แต่มีรสฝาด เช่น ฝรั่ง มะม่วงดิบ
เป็นต้น เป็นแหล่งของสารอาหารหลายชนิด เช่น โปรตีน
แร่ธาตุและสารสําคัญทางชีวภาพอื่นๆ ที่หาได้ยากในอาหารทั่วไป เช่น สังกะสี และ
สารแอนติออกซิแดนท์ ปริมาณที่ใช้ราวๆ 10% ของแต่ละมื้อ นอกจากนี้
มีการใช้รูปแบบอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ได้แก่ น้ําอาร์ซี (RC =
Rejuvena tion Concoction) ที่ได้จากน้ําจากการต้มข้าวและธัญพืชชนิดต่างๆ
น้ําแกง หรือน้ําซุป เช่น แกงจืด หรือ แกงเลียง ซึ่งควรรับประทานก่อนอาหาร
รวมทั้งสาหร่ายทะเล งาสด และงาคั่ว อาหารชีวจิตที่ควรงด เป็นอาหารที่ทําลายสุขภาพ
จึงสมควรงดหรือลดให้น้อยที่สุดได้แก่ อาหาร 4 กลุ่ม
1. อาหารที่ได้มาจากเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อ หมู
ไก่
2. อาหารรสหวานจากน้ําตาลขาวทุกชนิด ขนม
และเครื่องดื่มที่ทําจากน้ําตาล เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง เค้ก ไอศกรีม น้ําหวานต่างๆ
3. อาหารที่ใช้น้ํามัน นม เนย กะทิ
4. ข้าวที่ขัดสี หรือ แป้งขาวทุกชนิด เช่น
ข้าวขาว ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ขนมปังขาว
สําหรับการงดการดื่มนม
ทางชีวจิตได้ส่งเสริมการใช้โยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว ซึ่งเป็น
ผลิตภัณฑ์นมที่ผ่านการหมักด้วยเชื้อนมเปรี้ยว (Lactobacillus
bacteria) ทดแทนได้ และการ กินปลาก็กินได้ทั้งก้างเพื่อจะได้แร่ธาตุ
เช่น แคลเซียมและฟอสเฟตด้วยในด้านทางโภชนาการ
การกินอาหารชีวจิตเป็นการดัดแปลงรูปแบบอย่างเหมาะสมกับรสนิยมของคนไทย
โดยไม่มีการขัดแย้งกับข้อปฏิบัติการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี เช่นเดียวกับ
อาหารธรรมชาติอื่น เช่น อาหารแมคโครไบโอติก อาหารมังสวิรัติ
แต่อาหารชีวจิตมีการระบุ สัดส่วนของอาหารในกลุ่มต่างๆ
เพื่อให้ได้รับสารอาหารทุกกลุ่มตามที่ทางกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการแนะนําไว้
รวมถึงการงดอาหารบางอย่างที่เป็นพิษและทําลายสุขภาพ ถ้ามีการนําอาหาร
ชีวจิตไปปฏิบัติจริง เหมาะสมกับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะผู้ใหญ่ผู้สูงอายุ
ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและ น่าจะลดความเสี่ยงต่อโรคแห่งความเสื่อมทั้งหลาย
สําหรับการปฏิบัติทางด้านจิตใจ
ด้านจิตใจมีเป้าหมายสําคัญที่สุดคือความสงบ ซึ่งอาศัย
ธรรมชาติเป็นปัจจัยที่จะทําให้จิตใจเกิดความสงบ เกิดปัญญา
มองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต จุดสูงสุดของสัจธรรมนี้คือความหลุดพ้น
ซึ่งแต่ละคนย่อมมีหนทางและแนวทางเป็นของตนเอง ในขณะเดียวกัน
ชีวิตความเป็นอยู่ก็ต้องไปตามธรรมชาติ คือใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย
การดํารงชีวิตจึงควรพักอยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์ ไม่มีความแออัด
ควรออกกําลังกายหรือ กายบริหารอย่างสม่ําเสมอ มีการดื่มน้ําสะอาดและน้ําชาสมุนไพร
มีการขับสารพิษ (“ดีท็อกซ์” detoxification) โดยการสวนทางทวารหนักด้วยน้ํากาแฟ
น้ํามะขาม น้ํามะนาว หรือ น้ําอุ่น เป็นวิธีกําจัดสารพิษหรือท็อกซิน (toxin)
ที่คั่งค้างอยู่ในลําไส้ใหญ่ออกจากร่างกาย มีการพักผ่อน
จิตใจและการฝึกสมาธิ ชีวิตที่เป็นไปตามธรรมชาติจะเป็นชีวิตที่มีอายุยืน แข็งแรง
มีความสุข สดชื่นตลอดเวลา
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น